การเตรียมตัวก่อนเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
ก่อนที่จะเริ่มติดตั้งอินเทอร์เน็ต เราจะต้องเตรียมอุปกรณ์ หรือสิ่งที่จำเป็นต่างๆ ให้พร้อมเสียก่อน สิ่งที่จำเป็นในการติดตั้งอินเทอร์เน็ต มีดังต่อไปนี้
1. เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ขายกันท้องตลาดส่วนใหญ่จะสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ทั้งสิ้น คุณสมบัติของเครื่อง อย่างน้อยควรเป็น Pentium II ขึ้นไป มีหน่วยความจำไม่ต่ำหว่า 64 Mb
2. โมเด็ม (Modem) โมเด็มเป็นอุปกรณ์ในการส่งข้อมูลโดยแปลงสัญญาณ ดิจิตอลพอร์ตอนุกรมเป็นสัญญาณอนาล็อกส่งออกไปตามสายตัวโทรศัพท์และเมื่อถึงโมเด็มปลายทาง ตัวโมเด็มก็จะ แปลงสัญญาณอนาล็อกกลับเป็นดิจิตอลอีกครั้ง โมเด็มมีให้เลือกใช้งาน 2 แบบ คือ
2.1 โมเด็มภายนอก (External Modem) เป็นโมเด็มที่ติดตั้งอยู่ภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์ ติดตั้งง่าย การทำงานจะมีประสิทธิภาพดี ข้อเสีย คือ มีราคาแพง ซึ่งสามารถติดต่อได้ทั้งพอร์ต Com 1 และพอร์ต Com 2
2.2 โมเด็มภายใน (Internal Medem) เป็นโมเด็มที่ติดตั้งภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นการ์ด ข้อดี มีราคาถูก แต่ติดตั้งลำบาก และมีประสิทธิภาพการใช้งานต่ำกว่าโมเด็มภายนอก มีลักษณะเป็นการ์ดเสียบเหมือนกับการ์ด ทั่วๆไปเหมาะสำหรับผู้ที่มีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์พอสมควร เพราะโมเด็มประเภทนี้จะติดตั้งยากและ มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับการชนกันระหว่างอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ โมเด็มที่ใช้งานควรมีคุณลักษณะตามมาตรฐาน ดังนี้
1. ความเร็วไม่น้อยกว่า 56 Kbps 2. อย่างน้อยต้อง ใช้กับ Protocol v.90 3. รับ-ส่ง Fax 14.4 Kbps ตามมาตรฐาน v.7 ขึ้นไป 4. มีมาตรฐานของ v.42 (Correction) และ v.42 bis (Compression)
การติดตั้งโมเด็มโมเด็ม 56 K
เป็นโมเด็มแบบอนาล็อคที่ใช้ในการรับส่งสัญญาณผ่านระบบโทรศัพท์แบบธรรดา เวลาเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในแต่ละครั้งจำเป็นจะต้องหมุนหมายเลขโทรศัพท์ไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เร็ต (ISP) ด้วย มาตราฐานล่าสุดที่ใช้กันในปัจจุบัน คือ V.92 ซึ่งให้ Bit Rate หรืออัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดที่ 56/33.6 Kbps (รับข้อมูลขาลงจากอินเทอร์เน็ต หรือ Download ที่ความเร็ว 56 Kbps และส่งข้อมูล ขาขึ้น Upload ที่ความเร็ว 33.6 Kbps)
โมเด็ม ADSL (โมเด็ม Hi-Speed)
เป็นโมเด็มแบบดิจิตอลที่ใช้เทคโนโลยีในการติดต่อสื่อสารและรับส่งข้อมูลกันด้วยระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนคู่สายโทรศัพท์แบบะรรดา โดยเลือกใช่ย่านความถี่ที่ไม่มีในการใช้งานอินเทอร์เน็ต (โมเด็มแบบ Dial-Up ในระหว่างใช้งานอินเทอร์เน็ตจะำม่สามารถใช้โทรศัพท์ปกติไปพร้อมๆกันได้) อีกทั้งเวลาเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในแต่ละครั่ง ก็ไม่จำเป็นต้องหมุนหมายเลขโทรศัพท์เหมือนกับ 56k Dial-Up อีกด้วย ปัจจุบันเทคโนโยยีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Hing-Speed Internet) และโมเด็มของ ADSL นี้กำลังเป็นที่นิยมและได้กลายเป็นมาตรฐานที่ใช้งานกันโดยทั่วไป ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกใช้ความเร็วได้ตามต้องการจากผ๔้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) เช่น 256/128, 512/256 และ 1024/512 Kbps เป็นต้น โดยแต่ละความเร็วจะมีอัตราค่าบริการแต่กต่างกันไปสำหรับอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดด้วยระบบ ADSL ในปัจจุบันจะอยู่ที่ 8192/1024 Kbps หรือก็คือ รับส่งข้อมูลขาลงจาก ISP (Download) ด้วยความเร็วสูงสุด 16 Mbps และส่งข้อมูลขาขึ้นไปหา ISP (Uplpad) ด้วยความเร็วสูงสุด 1 Mbps
Wireless Router Modem
1.เชื่อมต่อ Computer กับอุปกรณ์ Router ด้วยการต่อสาย Lan จาก Port RJ-45 ของ Router (port 1-4) มาที่ Port RJ-45 ของ Computer
2. เปิดโปรแกรม Internet Explorer พิมพ์ URL 192.168.1.1 3. ใส่ User Name = root , Password = admin 4. เข้าที่หน้าจอ Basic Setup เลือก Connection Type = Automatic Configuration-DHCP |
5. กำหนด IP Address ให้กับอุปกรณ์ Wireless Router
จากรูปจะ Set ค่า ให้ RouterLocal IP Address = 192.168.1.2
Subnet Mask = 255.255.255.0
Gateway และ Local DNS จะเป็นหมายเลข IP ของอุปกรณ์ Modem(ที่ทำหน้าที่เป็น Gateway) คือ 192.168.1.1
7. จากนั้น Click ปุ่ม Save Settings รอให้อุปกรณ์ Router Reboot ตัวเองประมาณ 2 นาที
ทีนี้มา Set สัญญาณ Wireless กัน
1. Set สัญญาณ Wireless โดยเข้าที่ Menu Wireless เลือก Basic Settings เปลี่ยนชื่อสัญญาณ Wireless ตามต้องการจากนั้น Click ปุ่ม [Save Settings]
2. ตั้งค่า Security ป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาใช้สัญญาณ Wireless โดยเข้าที่ Menu Wireless Wireless Security
กำหนดตามนี้
Security Mode = WPA Pre-Shared Key
WPA Algorithms = TKIP
ตั้งค่า WPA Shared Key ตามต้องการ
จากนั้น Click [Save Settings]
ทดสอบสัญญาณ Wireless ด้วยการเปิดตัวรับสัญญาณ Wireless แล้ว Connect เข้ากับสัญญาณ Wireless ที่ตั้งชื่อไว้ตามข้อที่ 9
ลองเข้า Internet
การกำหนดค่าตัวเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านโมเด็ม 56 K
สามารถเชื่อมต่อได้ แต่ต้องทำการติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติมผ่านศูนย์ซอฟท์แวร์ชื่อ gnome-ppp และสามารถเรียกใช้งานได้ดังนี้
- ไปที่เมนู > อินเตอร์เน็ต > GNOME PPP
- click ไปที่ Setup แล้วตั้งค่าต่างๆที่ต้องใช้ในการเชื่อมต่อ
- เมื่อต้องค่าเสร็จแล้วให้กด close เพื่อกลับมาหน้าแรกของโปรแกรมแล้วกรอก username และ password และ Phone number แล้วทำการเชื่อมต่อ
การกำหนดค่าตัวเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
คุณลักษณะของอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือ บรอดแบนด์
อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะมีลักษณะพิเศษ ต่างไปจากการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตบนโครงข่ายโทรศัพท์แบบเดิมอยู่ค่อนข้างมาก อันได้แก่
1. ความเร็ว
โดยทั่วไปบรอดแบนด์จะมีความเร็วสูงกว่าอินเทอร์เน็ตเดิมมาก ซึ่งความเร็วที่สูงขึ้นนั้น อาจเป็น 10-20 เท่าขึ้นไป ดังเช่นถ้าเคยใช้อินเทอร์เน็ตที่ต่อด้วยโมเด็มและสายโทรศัพท์ในแบบเดิม ความเร็วสูงสุดที่ 56,000 บิทต่อวินาที หรือเรียกกันว่า 56 Kbps (Kbps มาจากคำว่า Kilo bit per second) แต่ในความเร็วที่จะรับได้นั้นจะประมาณ 30-50 Kbps แต่สำหรับบรอดแบนด์นั้นจะมีความเร็วตั้งแต่ 256,000 บิทต่อวินาที จนถึง 10 ล้านบิทต่อวินาที ขึ้นอยู่กับบริการที่เราเรียกใช้และเริ่มมีในท้องถิ่นนั้นๆ
โดยทั่วไปบรอดแบนด์จะมีความเร็วสูงกว่าอินเทอร์เน็ตเดิมมาก ซึ่งความเร็วที่สูงขึ้นนั้น อาจเป็น 10-20 เท่าขึ้นไป ดังเช่นถ้าเคยใช้อินเทอร์เน็ตที่ต่อด้วยโมเด็มและสายโทรศัพท์ในแบบเดิม ความเร็วสูงสุดที่ 56,000 บิทต่อวินาที หรือเรียกกันว่า 56 Kbps (Kbps มาจากคำว่า Kilo bit per second) แต่ในความเร็วที่จะรับได้นั้นจะประมาณ 30-50 Kbps แต่สำหรับบรอดแบนด์นั้นจะมีความเร็วตั้งแต่ 256,000 บิทต่อวินาที จนถึง 10 ล้านบิทต่อวินาที ขึ้นอยู่กับบริการที่เราเรียกใช้และเริ่มมีในท้องถิ่นนั้นๆ
ในการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต คุณต้องมีโมเด็มหรือเชื่อมต่ออยู่กับเครือข่าย และต้องได้รับบริการจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP)
เมื่อต้องการตั้งค่าการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยใช้ทางลัดบนเดสก์ท็อปของ ISP ที่จัดไว้ให้ ให้ทำดังต่อไปนี้
1. บันทึกและปิดไฟล์ต่างๆ ที่เปิดค้างไว้ และออกจากโปรแกรมที่เปิดใช้งานอยู่
2. ดับเบิลคลิกที่ไอคอน ของ ISP บนเดสก์ท็อปของ Microsoft® Windows®
3. ทำตามคำแนะนำบนหน้าจอเพื่อให้การตั้งค่าดังกล่าวเสร็จสมบูรณ์
5. การกำหนดค่าตัวเชื่อมต่อผ่าน Wireless Router Modem
กรณีที่ 1 - เป็นการเชื่อมต่อ Router+Wireless ให้อยู่ Class IP เดียวกันกับระบบ Broadband Router
• เป็นการต่อใช้งานแบบธรรมดา โดย Broadband Router ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมต่อ Internet หรือเป็น Gateway นั้นเอง ( PPPOE , User: , Pass อยู่ใน Broadband Router) อะนะ และ Broadband Router ก็เปิดการแจก IP (DHCP Server) อยู่
• เราก็นำ port LAN จาก Broadband Router มาต่อที่ port LAN ของ Roter+Wireless
Roter+Wireless ต้อง SET IP local ให้อยู่ใน class เดียวกับ Broadband Router / subnet / gateway / dns ของ Broadband Router และ ปิดฟังก์ชั่น DHCP ของ Roter+Wireless ด้วย
ข้อดี
• ต้องการสร้างวงในระบบเครือข่ายให้อยู่วง Network เดียวกันเพื่อสามารถแชร์ข้อมูลในระบบได้ง่ายขึ้น
• ตัวอุปกรณ์ Router+wireless สามารถใช้งานในส่วน Wireless ได้ดียิ่งขึ้นเสถียรขึ้นเพราะไม่ต้องทำหน้าที่อะไรในระบบเลยแค่เป็น AP เท่านั้น
ข้อเสีย
• หากต้องการทำ Port Forword ที่ตัว Router+Wireless จะไม่สามารถทำได้เพราะตัวมันไม่ใช้เป็นตัวออก internet , DNS , Firewall ฯ
กรณีที่ 1-2 - เป็นการเชื่อมต่อ Router+Wireless ให้อยู่คนละ Class IP เดียวกับระบบ Broadband Router นะครับ
• โดยการนำ port lan จาก Broadband Router เข้ามาที่ port Internet ของอุปกรณ์ Router+wireless
• โดย Router+wireless จะแยกการทำงานในส่วนของ WAN (Internet) กับ Local IP "WAN ที่ได้ จะรับมาจาก Broadband Router" ทำให้ "Local ของ Router+Wireless สร้างวงภายในอีกวงหนึ่งขึ้นมา
ข้อดี
• ต้องการสร้างวงในระบบเครือข่ายให้อยู่คนละวงกัน เพื่อแยกส่วนการทำงาน
• สามารถควบคุมการออก internet ได้บนอุปกรณ์ Router+wireless
ข้อเสีย
• หากระบบ Router+Wireless ถูกเปิดการใช้งาน Firewall อยู่บนตัวอุปกรณ์เครื่อง Client ที่เชื่อมต่อกับตัวนี้จะไม่สามารถข้ามไปเจอเครื่อง Client ที่ถูกต่ออยู่กับฝั่ง Broadband Router
• หากต้องการทำ Port Forword ที่ตัว Router+Wireless จะไม่สามารถทำได้เพราะตัวมันไม่ใช้เป็นตัวออก internet , DNS , Firewall ฯ
กรณีที่ 2 - เป็นการเชื่อมต่อ Router+Wireless ให้เป็นตัวเชื่อมต่อ Internet (gateway)
• กรณีนี้ส่วนมากจะใช้งานกันเยอะ เพราะกรณีที่ผู้ใช้ มี Broadband Router ที่ผู้ให้บริการแถมๆ มาที่เป็น 1 port ADSL(RJ-11)
• ตัว Broadband Router จะทำงานในโหมด Bridge ซึ่งการทำงานก็เป็นเหมือนสะพานเพื่อให้ Router+Wireless เป็นตัวเชื่อมต่อ กับ ผู้ให้บริการ Internet
ข้อดี
• บนตัว Router+Wireless สามารถใช้งานฟังก์ชั้นต่างบนตัวนี้ได้มากขึ้น เช่น DNS , Port Forwarding , PPTP SERVER , QOS , สร้างกฏการใช้งานเครื่องของ Client ออกใช้งานอินเตอร์เน็ตเป็นช่วงเวลา Access Retraction , Firewall ฯลฯ
ข้อเสีย
• บนตัว Broadband Router ที่นำมาใช้เป็น Bridge Mode จะไม่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้อีกเป็นเพียงเสมือนตัวส่งผ่านข้อมูลที่มาจาก DSL ไปให้กับ Router + Wireless เท่านั้น
เมื่อต้องการตั้งค่าการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยใช้ทางลัดบนเดสก์ท็อปของ ISP ที่จัดไว้ให้ ให้ทำดังต่อไปนี้
1. บันทึกและปิดไฟล์ต่างๆ ที่เปิดค้างไว้ และออกจากโปรแกรมที่เปิดใช้งานอยู่
2. ดับเบิลคลิกที่ไอคอน ของ ISP บนเดสก์ท็อปของ Microsoft® Windows®
3. ทำตามคำแนะนำบนหน้าจอเพื่อให้การตั้งค่าดังกล่าวเสร็จสมบูรณ์
5. การกำหนดค่าตัวเชื่อมต่อผ่าน Wireless Router Modem
กรณีที่ 1 - เป็นการเชื่อมต่อ Router+Wireless ให้อยู่ Class IP เดียวกันกับระบบ Broadband Router
• เป็นการต่อใช้งานแบบธรรมดา โดย Broadband Router ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมต่อ Internet หรือเป็น Gateway นั้นเอง ( PPPOE , User: , Pass อยู่ใน Broadband Router) อะนะ และ Broadband Router ก็เปิดการแจก IP (DHCP Server) อยู่
• เราก็นำ port LAN จาก Broadband Router มาต่อที่ port LAN ของ Roter+Wireless
Roter+Wireless ต้อง SET IP local ให้อยู่ใน class เดียวกับ Broadband Router / subnet / gateway / dns ของ Broadband Router และ ปิดฟังก์ชั่น DHCP ของ Roter+Wireless ด้วย
ข้อดี
• ต้องการสร้างวงในระบบเครือข่ายให้อยู่วง Network เดียวกันเพื่อสามารถแชร์ข้อมูลในระบบได้ง่ายขึ้น
• ตัวอุปกรณ์ Router+wireless สามารถใช้งานในส่วน Wireless ได้ดียิ่งขึ้นเสถียรขึ้นเพราะไม่ต้องทำหน้าที่อะไรในระบบเลยแค่เป็น AP เท่านั้น
ข้อเสีย
• หากต้องการทำ Port Forword ที่ตัว Router+Wireless จะไม่สามารถทำได้เพราะตัวมันไม่ใช้เป็นตัวออก internet , DNS , Firewall ฯ
กรณีที่ 1-2 - เป็นการเชื่อมต่อ Router+Wireless ให้อยู่คนละ Class IP เดียวกับระบบ Broadband Router นะครับ
• โดยการนำ port lan จาก Broadband Router เข้ามาที่ port Internet ของอุปกรณ์ Router+wireless
• โดย Router+wireless จะแยกการทำงานในส่วนของ WAN (Internet) กับ Local IP "WAN ที่ได้ จะรับมาจาก Broadband Router" ทำให้ "Local ของ Router+Wireless สร้างวงภายในอีกวงหนึ่งขึ้นมา
ข้อดี
• ต้องการสร้างวงในระบบเครือข่ายให้อยู่คนละวงกัน เพื่อแยกส่วนการทำงาน
• สามารถควบคุมการออก internet ได้บนอุปกรณ์ Router+wireless
ข้อเสีย
• หากระบบ Router+Wireless ถูกเปิดการใช้งาน Firewall อยู่บนตัวอุปกรณ์เครื่อง Client ที่เชื่อมต่อกับตัวนี้จะไม่สามารถข้ามไปเจอเครื่อง Client ที่ถูกต่ออยู่กับฝั่ง Broadband Router
• หากต้องการทำ Port Forword ที่ตัว Router+Wireless จะไม่สามารถทำได้เพราะตัวมันไม่ใช้เป็นตัวออก internet , DNS , Firewall ฯ
กรณีที่ 2 - เป็นการเชื่อมต่อ Router+Wireless ให้เป็นตัวเชื่อมต่อ Internet (gateway)
• กรณีนี้ส่วนมากจะใช้งานกันเยอะ เพราะกรณีที่ผู้ใช้ มี Broadband Router ที่ผู้ให้บริการแถมๆ มาที่เป็น 1 port ADSL(RJ-11)
• ตัว Broadband Router จะทำงานในโหมด Bridge ซึ่งการทำงานก็เป็นเหมือนสะพานเพื่อให้ Router+Wireless เป็นตัวเชื่อมต่อ กับ ผู้ให้บริการ Internet
ข้อดี
• บนตัว Router+Wireless สามารถใช้งานฟังก์ชั้นต่างบนตัวนี้ได้มากขึ้น เช่น DNS , Port Forwarding , PPTP SERVER , QOS , สร้างกฏการใช้งานเครื่องของ Client ออกใช้งานอินเตอร์เน็ตเป็นช่วงเวลา Access Retraction , Firewall ฯลฯ
ข้อเสีย
• บนตัว Broadband Router ที่นำมาใช้เป็น Bridge Mode จะไม่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้อีกเป็นเพียงเสมือนตัวส่งผ่านข้อมูลที่มาจาก DSL ไปให้กับ Router + Wireless เท่านั้น